สกศ. ระดมสมองใหญ่ วางกรอบ-ทิศทางประเมินผลการศึกษาแห่งชาติ สู่คุณภาพที่ยั่งยืน

วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานเปิดการประชุมทางวิชาการ เรื่อง กรอบและทิศทางการประเมินผลการศึกษาแห่งชาติ โดยมี Mr.Ali Safarnejad, UNICEF รศ.พร้อมพิไล บัวสุวรรณ นายรังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายวีระพงษ์ อู๋เจริญ ผู้อำนวยการสำนักประเมินผลการจัดการศึกษา บุคลากรและข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโซเทลกรุงเทพ รัชดา กรุงเทพมหานคร
รศ.ดร.ประวิต กล่าวเปิดการประชุมว่า การประเมินผลการศึกษาแห่งชาติถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในระดับประเทศ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีทิศทาง และมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจน เพื่อได้ข้อมูลเชิงประจักษ์สำหรับวางแผน พัฒนานโยบายที่เฉียบคม และกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 4 ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและครอบคลุมทุกคนอย่างเท่าเทียม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยมี 5 Big Rocks เป็นจุดพลิกผันและคานงัดในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1) ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อการศึกษา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา 2) พัฒนาครูอย่างรอบด้าน การเพิ่มทักษะ แก้ไขปัญหาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3) จัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ 4) บริหารจัดการทางการเงินเพื่อการศึกษา การปรับโครงสร้างรายการเงินอุดหนุน และ 5) การทดสอบและประเมินผลทางการศึกษา การพัฒนาการประเมินผลให้มีความยืดหยุ่น มีระบบสอดคล้องกันทั้งในระดับชาติ ระดับองค์กร และระดับการศึกษา ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Outcome) เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาให้ก้าวกระโดดเทียบเท่ามาตรฐานสากล ตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนากรอบและทิศทางการประเมินที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับบริบทของประเทศ และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
ที่ประชุมร่วมรับฟังบรรยาย “Using the evaluation for better performance, informed decision-making and increased accountability: UNICEF’s evaluation framework policy” ซึ่งกล่าวถึงผลจากการประเมินมีประโยชน์หลายประการคือ เพื่อตัดสินใจ วัดผลการทำงาน รวมถึงการปรับปรุงและต้องมีความรับผิดชอบอย่างไร ในมุมการทำงานของยูนิเซฟจะมีโยบายเป็นภาพใหญ่ มีมาตรฐาน รวมถึงแผนการทำงานที่ครอบคลุม โดยชี้ให้เห็นว่าการประเมินผลนั้นเป็นมากกว่าแค่การตรวจสอบความรับผิดชอบ แต่เป็นการเรียนรู้และปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้บริหารและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ การมีนโยบายที่ดีขึ้น ผ่านกระบวนการวางแผนและการประเมินที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม และการเสวนา “ความสำคัญการติดตามและประเมินผลทางการศึกษาของประเทศไทย” ที่เน้นถึงความจำเป็นในการมีระบบติดตามและประเมินผลที่เข้มแข็ง มีความเหมาะสมกับบริบทซึ่งจะช่วยให้การเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย นำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรทางศึกษาที่เป็นธรรมและคุ้มค่า พร้อมผลักดันให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและประเทศได้อย่างแท้จริงในระยะยาว
จากนั้น ที่ประชุมได้แบ่งกลุ่มอภิปรายระดมความคิดเพื่อยกร่าง “กรอบความคิด และแนวทางการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาในมิติต่างๆ อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม” ประเด็นคำถามคือ 1) วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการประเมินผลในภาคการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน 2) การบริหารจัดการประเมินศึกษาควรเป็นอย่างไร ที่จะสร้างให้เป็นวิถีปฏิบัติและวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษา 3) การประเมินประเภทใดที่จำเป็นที่สุด และควรดำเนินการบ่อยเพียงใด และ 4) สมรรถนะและความสามารถใดบ้างที่บุคคลและระบบต้องเสริมสร้างเพื่อให้กรอบการประเมินนี้เป็นจริง พบข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ เช่น การประเมินต้องสามารถสะท้อนผลลัพธ์จากกระบวนการการเรียนรู้ โดยเน้นไปที่การพัฒนาปรับปรุงมากกว่าการตัดสินผล การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เห็นคุณค่าของการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์จริงในทุกระดับ ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำอย่างจริงจัง รวมถึงการพัฒนารูปแบบการประเมินที่หลากหลาย มีความยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละมิติการศึกษา มีเครื่องมือที่เอื้อต่อการเก็บข้อมูล และการเสริมสร้างสมรรถนะบุคลากรด้านทักษะการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลประเมินผลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ สกศ. จะรวบรวมความคิดเห็นจากการประชุมไปวิเคราะห์เป็นข้อเสนอ เพื่อจัดทำเป็นร่างกรอบและทิศทางการประเมินผลการศึกษาแห่งชาติต่อไป

