สรุปประเด็นการสนทนารายการรอบรั้วเสมา ช่วงผู้บริหารสนทนา ประเด็น การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา)
สรุปประเด็นการสนทนารายการรอบรั้วเสมา ช่วงผู้บริหารสนทนา สถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz และ AM 1161 KHz ประเด็นเรื่อง การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา) วันศุกร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๓๐ – ๐๘.๔๕ น. โดย ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา
ผู้ดำเนินรายการ : | รายการรอบรั้วเสมา ช่วงผู้บริหารสนทนา ในวันนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา สนทนาประเด็น “การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา)” ขอเรียนถามถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว | ||
รองเลขาธิการสภาการศึกษา : |
เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดประชุมการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา) ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ของ สกศ. ในด้านการติดตามและประเมินผล โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติและเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล | ||
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังขาดแคลนแรงงานด้านอาชีวศึกษา เพื่อรองรับการจ้างงานโดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน เนื่องจากค่านิยมของผู้ปกครองที่มุ่งส่งลูกหลานให้เรียนในสายสามัญเป็นหลัก เพื่อเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษา ทำให้ผู้เรียนสายอาชีวศึกษามีจำนวนน้อยลง ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายให้จัดการเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือที่เรียกว่า โครงการทวิศึกษา โดยบูรณาการร่วมกับ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) | |||
โครงการทวิศึกษามีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาแก่ประชาชนวัยเรียนและวัยทำงานตามความถนัดและความสนใจ ๒) เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่นักเรียนระดับมัธยมตอนปลายที่มีความประสงค์เรียนควบคู่ไปกับหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ และ ๓) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความประสงค์เรียนควบคู่ไปกับหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) | |||
ขณะนี้ โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการเป็นระยะเวลาประมาณ ๒ ปีแล้ว สกศ. จึงจัดประชุมสัมมนาขึ้นเพื่อติดตามผลและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งสรุปปัจจัยความสำเร็จ อุปสรรค รวมถึงประยุกต์ใช้แนวทางการจัดการศึกษาแบบทวิศึกษาในต่างประเทศ โดยจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อรัฐบาลเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาโครงการทวิศึกษาให้ประสบความสำเร็จต่อไป | |||
ผู้ดำเนินรายการ : | ผลที่ได้รับจากการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วม ฯ ในครั้งนี้ เป็นอย่างไร | ||
รองเลขาธิการสภาการศึกษา : | การศึกษาวิจัยจากการรวบรวมข้อมูลทั้งจากเอกสาร แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ พบว่า สิ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้บริหารสถานศึกษาจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมมือ (MOU) กับสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษาในพื้นที่ได้และดำเนินการตาม MOU ได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม พบว่ายังมีข้อติดขัดในด้านการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ชัดเจน ปัญหาการจัดหลักสูตรเพิ่มเติมทำให้ขาดแคลนครูผู้สอนโดยเฉพาะในสายอาชีวศึกษา สำหรับปัญหาการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ ฯ พบว่า มีสถานศึกษาสายสามัญบางแห่งที่คัดเลือกนักเรียนซึ่งมีผลการเรียนในระดับต่ำถึงปานกลางเข้ามาร่วมโครงการ ฯ เมื่อนักเรียนถูกบังคับให้มาสมัครจึงขาดความตั้งใจและขาดเรียน บ่อยครั้งจนต้องออกจากโครงการ ฯ ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของโครงการ ฯ ในระยะยาว การจบหลักสูตรใช้เกณฑ์การจบหลักสูตรทั้ง ๒ หลักสูตรที่เรียน โดยนักเรียนสังกัด กศน. ที่เข้าร่วมโครงการ ฯ ต้องเรียนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย ๔๐ หน่วยกิต และนักเรียนสังกัด สพฐ. ที่เข้าร่วมโครงการ ฯ ต้องเรียนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย ๒๙ หน่วยกิต ทั้งนี้ เมื่อเรียนครบตามหลักสูตร นักเรียนจะต้องได้ระดับคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ ๒.๐ ขึ้นไป และต้องฝึกงานตามข้อกำหนดของหลักสูตร ปวช. อีก ๓๒๐ ชั่วโมงรวมถึงต้องสอบผ่านเกณฑ์สมรรถนะวิชาชีพในสาขาที่เรียนจึงจะได้วุฒิการศึกษาทั้งในสายสามัญและสายอาชีพ | ||
ผู้ดำเนินรายการ : |
ประเด็นใดที่ต้องเน้นให้ความสำคัญเป็นพิเศษ |
||
รองเลขาธิการสภาการศึกษา : |
ประเด็นสำคัญมี ๓ ประเด็น ดังนี้ |
||
๑) ปัจจัยผลความสำเร็จ พบว่า การจะดำเนินการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ทวิศึกษา จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยความพร้อมของการดำเนินงานของบุคลากร ร่วมทั้งทรัพยากรด้านอื่น ๆ เช่น ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุ ด้านอาคารสถานที่ เป็นต้น | |||
๒) ปัจจัยความคาดหวังของผลโครงการทวิศึกษาดังกล่าว พบว่า การทำบันทึกข้อความตกลงระหว่างสถาบันคู่สัญญาบางแห่งอาจยังไม่มีความชัดเจน เช่น ใครเป็นผู้จ่ายเงินงบประมาณค่าสอน ค่าสื่อต่าง ๆ ซึ่งกฎระเบียบที่มีอยู่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหา อุปสรรค หรือไม่ อย่างไร เพราะบางเรื่องในกฎระเบียบที่กำหนดไว้ ไม่มีความครอบคลุม อีกประเด็นที่ค้นพบ คือ ประสิทธิภาพการบริหารโครงการฯ เนื่องจากส่วนมากเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น นักเรียน ผู้ปกครอง ครู ร่วมถึงผู้บริหารของโรงเรียนที่มีคู่สัญญา ที่ต้องให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ร่วมทั้งมีการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน และมีการติดตามการเรียนการสอน ซึ่งบางแห่งมีส่วนร่วมน้อย และบางแห่งมองว่าเป็นการเพิ่มภาระ | |||
ผลผลิตของโครงการนี้ พบว่า ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง มีความพึงพอใจมาก เพราะจะได้เรียนทั้งหลักสูตรสายสามัญ เพื่อเป็นทางเลือกในการเรียน ไปสู่หลักสูตรอุดมศึกษาและหลักสูตรสายอาชีพที่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทันที | |||
ความคาดหวังของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการบริหาร หากคู่สัญญาดำเนินการระยะหนึ่งและขาดประสิทธิภาพ เช่น การประสานงาน ความพร้อมอาคาร สถานที่ เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจะเกี่ยวข้องกับความพร้อมของการจัดการศึกษา ความชัดเจนของการทำคู่สัญญา และอีกส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ คือ เรื่องคุณภาพของครู ซึ่งจะมีผลกระทบต่อโครงการเป็นอย่างมาก |
|||
๓) ปัญหา อุปสรรค ในการจัดการศึกษา เป็นเรื่องงบประมาณในการบริหารโครงการทวิศึกษา โดยโรงเรียนบางแห่งคัดเลือกและเชิญชวนนักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ไม่ค่อยดีมากนักในการเรียนสายสามัญมาส่งเสริมให้เรียนสายอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะนักเรียนที่มีพื้นฐานและคุณสมบัติที่จะเรียน ๒ หลักสูตรต้องมีความรู้ ความสามารถ ความพร้อม ความกระตือรือร้น มุ่งมั่น โดยจะไม่คัดเลือกนักเรียนที่มีปัญหาการเรียนสายสามัญและส่งเสริมให้มาเรียนสายอาชีพ เพราะผลสำเร็จเป้าหมายจะเกิดขึ้นยาก |
|||
ผู้ดำเนินรายการ : |
สุดท้ายนี้ขอให้ท่านรองเลขาธิการสภาการศึกษา (ดร. สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์) ฝากคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะกับผู้รับฟังรายการ |
||
รองเลขาธิการสภาการศึกษา : |
เนื่องจากในปัจจุบันการสร้างกำลังคนที่มีฝีมือ รวมถึงความต้องการกำลังคนที่มีฝีมือของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น การมีหลักสูตรเพื่อการพัฒนาเผยแพร่ฝีมือแรงงานจะนำไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาประเทศ ที่เรียกว่า “สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อยากฝากถึงผู้ปกครองว่าค่านิยมของการเรียนอาชีวศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ความเชื่อเดิมที่ว่า “คนที่เรียนอาชีวศึกษาคือคนที่เรียนสายสามัญไม่ได้” จะเปลี่ยนไป เพราะต่อไปนี้ใครที่มาเรียนสายอาชีวศึกษา จะมีทั้งเส้นทางที่ดี มีเส้นทางในการเรียนระดับปริญญาตรี และอุดมศึกษาได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีอาชีพ มีโอกาสที่จะมีงานทำ โอกาสที่จะมีความก้าวหน้าทางวิชาชีพมากขึ้น ดังนั้น ควรปรับเปลี่ยนค่านิยมและความเชื่อในเรื่องการเรียนหลักสูตรอาชีวศึกษา อาชีวศึกษาเป็นความต้องการของตลาดแรงงานของประเทศสูง |
||
สำหรับผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สามารถส่งความความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมมาได้ที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๙๙/๒๐ ถนนสุโขทัย |
|||
ผู้ดำเนินรายการ : |
ในวันนี้ขอขอบพระคุณ ท่านรองเลขาธิการสภาการศึกษา (ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์) ที่กรุณามาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในครั้งนี้ |